https://sangthong.wordpress.com
สังข์ทอง
วันจันทร์ที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560
ประวัติที่มาของเรื่อง
https://sangthong.wordpress.com
วันอาทิตย์ที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560
ผู้แต่ง
สังข์ทอง
ในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย มีลักษณะของละครนอก
มีตัวละครที่เป็นรู้จักกันเป็นอย่างดี คือ เจ้าเงาะซึ่งคือพระสังข์ กับนางรจนา
เนื้อเรื่องมีความสนุกสนานและเป็นนิยม จึงมีการนำเนื้อเรื่องบางบทที่นิยม ได้แก่
บทพระสังข์ได้นางรจนา เพื่อนำมาประยุกต์เป็นการแสดงชุด รจนาเสี่ยงพวงมาลัย
สังข์ทองเป็นเรื่องที่ได้มาจากสุวัณสังขชาดก
เป็นหนึ่งใน ชาดกพุทธประวัติ
เป็นนิทานพื้นบ้านในภาคเหนือและภาคใต้โดยที่สถานที่ที่กล่าวถึงเนื้อเรื่องในสังข์ทอง
กล่าวคือเล่ากันว่า
- เมืองทุ่งยั้งเป็นเมืองท้าวสามล อยู่ในบริเวณใกล้วัดมหาธาตุเนื่องจากมีลานหินเป็นสนามตีคลีของพระสังข์
- ส่วนในภาคใต้ เชื่อว่าเมืองตะกั่วป่าเป็นเมืองท้าวสามล มีภูเขาลูกหนึ่งชื่อว่า “เขาขมังม้า” เนื่องจากเมื่อพระสังข์ตีคลีชนะได้ขี่ม้าข้ามภูเขานั้นไป
.
เรื่องย่อ
กาลปางก่อน มีพระเจ้าพรหมทัต(ท้าวยศวิมล) ครองเมืองพรหมนคร(เมืองยศวิมล) พระเจ้าพรหมทัตมีมเหสีสององค์ มเหสีฝ่ายขวาชื่อพระนางจันทราเทวี (นางจันเทวี) มเหสีฝ่ายซ้ายชื่อพระนางสุวรรณจัมปากะ (นางจันทา) พระเจ้าพรหมทัตโปรดมเหสีฝ่ายซ้ายมาก ต่อมามเหสีทั้งสองทรงครรภ์ โหรทำนายว่าบุตร ของมเหสีฝ่ายขวาเป็นชาย ส่วนมเหสีฝ่ายซ้ายเป็นหญิง พระนางสุวรรณจัมปากะรู้สึกเสียใจที่จะได้ธิดาแทนจะเป็นโอรส และเกรงว่าพระนางจันทราเทวีจะได้ดีกว่า จึงใส่ร้ายพระนางจันทราเทวีจนพระเจ้าพรหมทัตหลงเชื่อ ขับไล่พระนางจันทราเทเวีออกจากพระราชวัง พระนางจันทราเทวเดินทางด้วยความยากลำบาก เมื่อถึงชายป่านอกเมือง ยายตาสองคนสงสารจึกชวนให้พักอยู่ด้วย โอรสในครรภ์ของพระนางจันทราเทวีเห็นความยากลำบากของพระมารดาจึงแปลงกายเป็นหอยสังข์เพื่อไม่ให้พระมารดาต้องลำบากเลี้ยงดู เมื่อครบกำหนดคลอด พระนางจันทราเทวีก็คลอดโอรสออกมาเป็นหอยสังข์ ซึ่งพระนางก็รักใคร่ เลี้ยงดูเหมือนลูกมนุษย์
วันหนึ่งพระนางจันทราเทวีออกจากบ้านไปช่วยตายายเก็บผักหักฟืน ลูกน้อยในหอยสังข์ก็ออกจากรูปหอยสังข์ช่วยปัดกวาดบ้านเรือน และหุงหาอาหารไว้ พอเสร็จก็กลับเข้าไปในรูปหอยสังข์ตามเดิม พระนางจันทราเทวีเมื่อกลับมาก็แปลกใจว่าใครมาช่วยทำงาน และเมื่อนางจันทราเทวีออกจากบ้านไป ลูกน้อยในหอยสังข์ก็จะออกมาทำงานบ้านให้เรียบร้อยทุกครั้ง พระนางจันทราเทวีอยากรู้ว่าเป็นใคร วันหนึ่งจึงทำทีออกจากบ้านไปป่าเช่นเคย แต่แล้วก็ย้อยกลับมาที่บ้าน โอรสในหอยสังข์ก็ออกมาทำงานบ้าน พระนางจันทราเทวีเห็นโอรสเป็นมนุษย์ก็ดีใจ จึงทุบหอยสังข์เสียและกอดโอรสด้วย ความยินดี และตั้งชื่อให้ว่า ” สังข์ทอง ”
เมื่อพระเจ้าพรหมทัตรู้ข่าวว่าพระนางจันทราเทวีประสูติพระโอรสก็ยินดีจะรับพระนางจันทราเทวีกลับ พระนางสุวรรณจัมปากะเทวีริษยาจึงได้เท็จทูลว่าพระโอรสเดิมเป็นหอยสังข์ พระเจ้าพรหมทัตก็หลงเชื่อเกรงจะเป็นกาลกิณีต่อบ้านเมือง จึงให้อำมาตย์จับพระนางจันทราเทวีและลูกน้อยสังข์ทองใส่แพลอยไป เมื่อแพลอนออกทะเลเกิดพายุใหญ่แพแตก พระนาจันทราเทวีถูกคลื่นซัดลอยไปติดที่ชายหาดเมืองมัทราษฎร์ พระนางก็เดินทาซัดเซพเนจรไปอาศัยบ้านเศรษฐีเมืองมัทราษฎร์ชื่อ ธนัญชัยเศรษฐี และทำหน้าที่เป็นแม่ครัว
ฝ่ายพระสังข์ทองนั้นจมน้ำลงไปยังนาคพิภพ พระยานาคมีจิตสงสารจึงเนรมิตเรือทอง แล้วอุ้มพระสังข์ทองใส่ไว้ในเรือ เรือทองลอยไปถึงเมืองยักษ์ซึ่งนางยักษ์พันธุรัตปกครองอยู่ นางยักษ์เห็นพระสังข์ทองในเรือทองเกิดความรักใคร่เอ็นดู จึงนำพระสังข์ทองมาเลี้ยงดูในปราสาท และให้พี่เลี้ยงนางนมแปลงร่างเป็นคนเพื่อมิให้พระสังข์ทองหวาดกลัว พระสังข์ทองก็เติบโตอยู่กับนางยักษ์พันธุรัต
นางยักษ์พันธุรัตปกติจะต้องออกไปหาสัตว์ป่ากินเป็นอาหาร เมื่อนางออกไปป่าก็จะไปครั้งละสามวันหรือเจ็ดวัน ทุกครั้งที่ไปก็จะสั่งพระสังข์ทองว่าอย่าขึ้นไปเล่นบนปราสาทชั้นบน และในสวน พระสังข์ทองก็เชื่อฟัง แต่เมื่อโตขึ้นก็เกิดความสงสัยอยากรู้ วันหนึ่งเมื่อนางยักษ์พันธุรัตไปป่า พระสังข์ทองก็แอบไปในสวนส่วนที่ห้ามไว้ เห็นกระดูกสัตว์และคนเป็นจำนวนมากที่นางยักษ์กินเนื้อแล้วทิ้งกระดูกไว้เป็นจำนวนมาก พระสังข์ทองเห็นเช่นนั้นก็ตกใจ นึกรู้ว่ามารดาเลี้ยงเป็นยักษ์ก็รู้สึกหวาดกลัว และเมื่อเดิต่อไปเห็นบ่อเงินบ่อทองสวยงามพอพระสังทองเอานิ้วก้อยจุ่มลงไปนิ้วก็กลายเป็นสีทอง พระสังข์ทองจึงลงไปอาบทั้งตัว ร่างกายก็กลายเป็นสีทองงดงาม แล้วพระสังข์ทองก็ขึ้นไปบนปราสาทชั้นบน เห็นเกราะรูปเงาะป่า เกือกทองและพระขรรค์ พระสังข์ทองเอาเกราะเงาะป่ามาสวมก็กลายร่างเป็นเงาะป่าพอใส่เกือกทองก็รู้สึกว่าลอยได้ พระสังข์ทองจึงหยิบพระขรรค์แล้วเหาะหนีออกจากเมืองยักษ์ และข้ามแม่น้ำไปยังเมืองตักศิลา ตกเย็นจึงพักอยู่ที่ศาลาริมน้ำ
ฝ่ายนางยักษ์กลับมาไม่เห็นลูก และขึ้นไปที่ปราสาทชั้นบนเห็นเกราะรูปเงาะป่า เกือกทองและพระขรรค์หายไป ก็รู้ทันทีว่าพระสังข์ทองรู้ว่าตนเป็นยักษ์แล้วหลบหนีไป นางจึงเหาะตามไป เมื่อถึงฝั่งน้ำเห็นพระสังข์ทองพักอยู่ นางไม่สามารถเหาะข้ามไปได้ จึงร้องไห้อ้อนวอนให้พระสังข์ทองกลับไป พระสังข์ทองยังหวาดกลัวจึงไม่ยอมกลับ นางพันธุรัตเสียใจจนหัวใจแตกสลาย แต่ก่อนตายนางก็สอนมนต์หาเนื้อหาปลาให้พระสังข์ทองแล้วนางก็สิ้นใจตาย พระสังข์ทองรู้สึกเสียใจมาก หลังจากได้จัดเผาศพนางยักษ์แล้ว พระสังข์ทองก็เหาะเดินทางไปเมืองพาราณสี และได้ไปอาศัชาวบ้านช่วยเลี้ยงโค พระสังข์ทองตอนนี้รูปร่างเป็นเงาะป่า พวกเด็กเลี้ยงโคก็มาเล่นสนิทสนมกับพระสังข์ทอง
ที่เมืองพาราณสีนี้เจ้าเมืองมีธิดา 7 องค์ เจ้าเมืองคิดจะให้พระธิดาทั้ง 7 องค์ได้อภิเษกสมรส จึงมีรับสั่งให้ประกาศแก่เจ้าผู้ครองนครต่าง ๆ ให้ส่งโอรสมาให้พระธิดาเลือก พระธิดาทั้ง 6 องค์ก็เลือกได้เจ้าชายทที่เหมาะสม แต่พระธิดาองค์สุดท้องชื่อรจนาไม่ยอมเลือกเจ้าชายองค์ใด เจ้าเมืองพาราณสีทรงกริ้วมากจึงประชดโดยให้อำมาตย์ไปประกาศให้ชายทุกคนในเมืองให้เข้ามาในวังให้พระราชธิดาเลือก พระสังข์ทองในรูปเงาะป่า ก็ถูกเกณฑ์เข้ามาด้วย เมื่อนางรจนาออกมาเลือกคู่ บุญบันดาลให้เห็นรูปทองของพระสังข์ทองแทนที่จะเป็นเงาะป่า นางจึงเลือกเงาะป่า เจ้าเมืองพาราณสีกริ้วมากขับไล่นางรจนาออกไปอยู่นอกเมือง
เจ้าเมืองพาราณสีมีความแค้นเคืองเงาะป่าคิดจะกำจัดจึงออกคำสั่งให้เขยทั้งหกและเงาะป่าไปหาเนื้อมาคนละตัว ใครหามาไม่ได้จะถูกประหารชีวิต เงาะป่าเข้าไปในป่าถอดรูปเงาะออกแล้วร่ายมนต์เรียกเนื้อ เนื้อทั้งหลายก็มาอออยู่ที่พระสังข์ทอง หกเขยหาเนื้อทั้งวันก็ไม่ได้จนกระทั่งมาพบพระสังข์ทอง ซึ่งหกเขยคิดว่าเป็นเทวดา หกเขยขอเนื้อจากพระสังข์ทอง พระสังข์ทองให้โดยขอตัดใบหูคนละหน่อย หกเขยก็ยอม ทั้งหมดก็นำเนื้อไปให้เจ้าเมืองพาราณสี
เจ้าเมืองพาราณสียังทำร้ายเงาะป่าไม่ได้ก็แค้นใจจึงมีคำสั่งให้เขยทุกคนหาปลาไปถวาย พระสังข์ทองก็ถอดรูปเงาะป่าแล้วร่ายมนต์เรียกปลา ปลาก็มาออคับคั่งอยู่ที่พระสังข์ทอง หกเขยหาปลาไม่ได้ทั้งวันและเมื่อพบปลามาอออยู่ที่พระสังข์ทองก็กราบไหว้อ้ออนวอนขอปลา พระสังข์ทองยกให้โดยขอตัดปลายจมูกหกเขยคนละหน่อย แล้วหกเขยกับเงาะป่านำปลาไปถวายเจ้าเมืองพาราณสี
เจ้าเมืองพาราณสีขัดแค้นใจที่ทำอันตรายเงาะป่าไม่ได้ก็เฝ้าคิดหาวิธีการอื่นที่จะกำจัดเงาะป่า พระอินทร์บนสวรรค์ทราบถึงการคิดร้ายของเจ้าเมืองพาราณสีต่อเงาะป่าจึงลงมาช่วย โดยเหาะลงมาลอยอยู่หน้าพระที่นั่งของเจ้าเมืองพาราณสี และกล่าวท้าทายว่าให้เจ้าเมืองพาราณสีหาคนดีมีฝีมือเหาะขึ้นมาตีคลีกับพระอินทร์บนอากาศภายในเจ็ดวัน ถ้าหาไม่ได้ก็จะฆ่าเจ้าเมืองพาราณสี
เจ้าเมืองพาราณสีตกใจมากให้หกเขยและบรรดาเสนาอำมาตย์ช่วยกันหาผู้อาสาเหาะไปตีคลี ทุกคนก็จนปัญญา เจ้าเมืองพาราณสีจึงให้ป่าวประกาศว่าผู้ใดที่สามารถเหาะไปตีคลีกับพระอินทร์บนอากาศได้จะยกราชสมบัติให้ แต่ก็ยังไม่มีผู้ใดมาอาสา นางมณฑาเทวีพระมเหสีของเจ้าเมืองพาราณสีจึงแอบไปหานางรจนา และขอให้นางรจนาอ้อนวอนให้เงาะป่าช่วย เงาะป่าสงสารทั้งสองนางจึงรับปาก และในวันที่เจ็ดเงาะป่าก็ถอดรูปเป็นพระสังข์ทองใส่เกือกแก้วเหาะขึ้นไปตีคลีกับพระอินทร์จนชนะ พระอินทร์ก็กลับไปบนสวรรค์
เจ้าเมืองพาราณสีดีพระทัยมากได้ขอโทษพระสังข์ทองและยกราชสมบัติให้ตามสัญญา พระสังข์ทองขอลาไปตามหาพระนางจันทราเทวีก่อน พระสังข์ทองเดินทางไปตามเมืองต่าง ๆ จนกระทั่งมาถึงเมืองมัทราษฎร์ จึงไปสืบถามที่บ้านธนัญชัยเศรษฐีว่ารู้จักหญิงที่ชื่อจันทราเทวีหรือไม่ ธนัญชัยเศรษฐีบอกว่าไม่รู้จัก แต่ก็เชิญพระสังข์ทองอยู่รับประทานอาหาร พระสังข์ทองสังเกตว่าอาหารมีรสปราณีตซึ่งผู้ทำจะต้องเป็นผู้ทำอาหารถวายพระเจ้าแผ่นดิน จึงขอพบแม่ครัวและซักถามประวัติก็ทราบว่าเป็นพระนางจันทราเทวีจึงดีใจมาก และขอธนัญชัยเศรษฐีที่จะรับพระมารดากลับไป
พระสังข์ทองนำพระมารดากลับไปอยู่ที่เมืองพาราณสี พระสังข์ทอง ปกครองเมืองพาราณสีจนเจริญรุ่งเรือง กิติศัพท์แพร่ไปยังนครอื่น ๆจนถึงเมืองพรหมนคร ชาวเมืองพรหมนครก็อพยพมาอยู่เมืองพาราณสี เสนาอำมาตย์เมืองพรหมนครจึงทูลเสนอพระเจ้าพรหมทัตว่าพระสังข์ทองพระราชโอรสครองเมืองพาราณสีมีความสามารถทำให้รุ่งเรืองจึงเห็นสมควรที่จะอัญเชิญพระสังข์ทองมาครองเมืองพรหมนครเพื่อสร้างความเจริญ พระเจ้าพรหมทัตเมื่อทรงทราบว่าพระโอรสยังมีชีวิตอยู่และมีความสามารถก็ยินดี และสำนึกผิดให้อำมาตย์ผู้ใหญ่ไปเมืองพาราณสีและทูลเชิญพระสังข์ทองและพระนางจันทราเทวีกลับเมืองพรหมนคร พระสังข์ทองสงสารพระบิดาจึงอ้อนวอนพระมารดาให้อภัยพระเจ้าพรหมทัตและเดินทางกลับเมืองพรหมนคร พระเจ้าพรหมทัตก็มอบราชสมบัติให้พระสังข์ทองปกครองบ้าน เมืองเป็นสุขสืบมา
https://sangthong.wordpress.com
วันหนึ่งพระนางจันทราเทวีออกจากบ้านไปช่วยตายายเก็บผักหักฟืน ลูกน้อยในหอยสังข์ก็ออกจากรูปหอยสังข์ช่วยปัดกวาดบ้านเรือน และหุงหาอาหารไว้ พอเสร็จก็กลับเข้าไปในรูปหอยสังข์ตามเดิม พระนางจันทราเทวีเมื่อกลับมาก็แปลกใจว่าใครมาช่วยทำงาน และเมื่อนางจันทราเทวีออกจากบ้านไป ลูกน้อยในหอยสังข์ก็จะออกมาทำงานบ้านให้เรียบร้อยทุกครั้ง พระนางจันทราเทวีอยากรู้ว่าเป็นใคร วันหนึ่งจึงทำทีออกจากบ้านไปป่าเช่นเคย แต่แล้วก็ย้อยกลับมาที่บ้าน โอรสในหอยสังข์ก็ออกมาทำงานบ้าน พระนางจันทราเทวีเห็นโอรสเป็นมนุษย์ก็ดีใจ จึงทุบหอยสังข์เสียและกอดโอรสด้วย ความยินดี และตั้งชื่อให้ว่า ” สังข์ทอง ”
เมื่อพระเจ้าพรหมทัตรู้ข่าวว่าพระนางจันทราเทวีประสูติพระโอรสก็ยินดีจะรับพระนางจันทราเทวีกลับ พระนางสุวรรณจัมปากะเทวีริษยาจึงได้เท็จทูลว่าพระโอรสเดิมเป็นหอยสังข์ พระเจ้าพรหมทัตก็หลงเชื่อเกรงจะเป็นกาลกิณีต่อบ้านเมือง จึงให้อำมาตย์จับพระนางจันทราเทวีและลูกน้อยสังข์ทองใส่แพลอยไป เมื่อแพลอนออกทะเลเกิดพายุใหญ่แพแตก พระนาจันทราเทวีถูกคลื่นซัดลอยไปติดที่ชายหาดเมืองมัทราษฎร์ พระนางก็เดินทาซัดเซพเนจรไปอาศัยบ้านเศรษฐีเมืองมัทราษฎร์ชื่อ ธนัญชัยเศรษฐี และทำหน้าที่เป็นแม่ครัว
ฝ่ายพระสังข์ทองนั้นจมน้ำลงไปยังนาคพิภพ พระยานาคมีจิตสงสารจึงเนรมิตเรือทอง แล้วอุ้มพระสังข์ทองใส่ไว้ในเรือ เรือทองลอยไปถึงเมืองยักษ์ซึ่งนางยักษ์พันธุรัตปกครองอยู่ นางยักษ์เห็นพระสังข์ทองในเรือทองเกิดความรักใคร่เอ็นดู จึงนำพระสังข์ทองมาเลี้ยงดูในปราสาท และให้พี่เลี้ยงนางนมแปลงร่างเป็นคนเพื่อมิให้พระสังข์ทองหวาดกลัว พระสังข์ทองก็เติบโตอยู่กับนางยักษ์พันธุรัต
นางยักษ์พันธุรัตปกติจะต้องออกไปหาสัตว์ป่ากินเป็นอาหาร เมื่อนางออกไปป่าก็จะไปครั้งละสามวันหรือเจ็ดวัน ทุกครั้งที่ไปก็จะสั่งพระสังข์ทองว่าอย่าขึ้นไปเล่นบนปราสาทชั้นบน และในสวน พระสังข์ทองก็เชื่อฟัง แต่เมื่อโตขึ้นก็เกิดความสงสัยอยากรู้ วันหนึ่งเมื่อนางยักษ์พันธุรัตไปป่า พระสังข์ทองก็แอบไปในสวนส่วนที่ห้ามไว้ เห็นกระดูกสัตว์และคนเป็นจำนวนมากที่นางยักษ์กินเนื้อแล้วทิ้งกระดูกไว้เป็นจำนวนมาก พระสังข์ทองเห็นเช่นนั้นก็ตกใจ นึกรู้ว่ามารดาเลี้ยงเป็นยักษ์ก็รู้สึกหวาดกลัว และเมื่อเดิต่อไปเห็นบ่อเงินบ่อทองสวยงามพอพระสังทองเอานิ้วก้อยจุ่มลงไปนิ้วก็กลายเป็นสีทอง พระสังข์ทองจึงลงไปอาบทั้งตัว ร่างกายก็กลายเป็นสีทองงดงาม แล้วพระสังข์ทองก็ขึ้นไปบนปราสาทชั้นบน เห็นเกราะรูปเงาะป่า เกือกทองและพระขรรค์ พระสังข์ทองเอาเกราะเงาะป่ามาสวมก็กลายร่างเป็นเงาะป่าพอใส่เกือกทองก็รู้สึกว่าลอยได้ พระสังข์ทองจึงหยิบพระขรรค์แล้วเหาะหนีออกจากเมืองยักษ์ และข้ามแม่น้ำไปยังเมืองตักศิลา ตกเย็นจึงพักอยู่ที่ศาลาริมน้ำ
ฝ่ายนางยักษ์กลับมาไม่เห็นลูก และขึ้นไปที่ปราสาทชั้นบนเห็นเกราะรูปเงาะป่า เกือกทองและพระขรรค์หายไป ก็รู้ทันทีว่าพระสังข์ทองรู้ว่าตนเป็นยักษ์แล้วหลบหนีไป นางจึงเหาะตามไป เมื่อถึงฝั่งน้ำเห็นพระสังข์ทองพักอยู่ นางไม่สามารถเหาะข้ามไปได้ จึงร้องไห้อ้อนวอนให้พระสังข์ทองกลับไป พระสังข์ทองยังหวาดกลัวจึงไม่ยอมกลับ นางพันธุรัตเสียใจจนหัวใจแตกสลาย แต่ก่อนตายนางก็สอนมนต์หาเนื้อหาปลาให้พระสังข์ทองแล้วนางก็สิ้นใจตาย พระสังข์ทองรู้สึกเสียใจมาก หลังจากได้จัดเผาศพนางยักษ์แล้ว พระสังข์ทองก็เหาะเดินทางไปเมืองพาราณสี และได้ไปอาศัชาวบ้านช่วยเลี้ยงโค พระสังข์ทองตอนนี้รูปร่างเป็นเงาะป่า พวกเด็กเลี้ยงโคก็มาเล่นสนิทสนมกับพระสังข์ทอง
ที่เมืองพาราณสีนี้เจ้าเมืองมีธิดา 7 องค์ เจ้าเมืองคิดจะให้พระธิดาทั้ง 7 องค์ได้อภิเษกสมรส จึงมีรับสั่งให้ประกาศแก่เจ้าผู้ครองนครต่าง ๆ ให้ส่งโอรสมาให้พระธิดาเลือก พระธิดาทั้ง 6 องค์ก็เลือกได้เจ้าชายทที่เหมาะสม แต่พระธิดาองค์สุดท้องชื่อรจนาไม่ยอมเลือกเจ้าชายองค์ใด เจ้าเมืองพาราณสีทรงกริ้วมากจึงประชดโดยให้อำมาตย์ไปประกาศให้ชายทุกคนในเมืองให้เข้ามาในวังให้พระราชธิดาเลือก พระสังข์ทองในรูปเงาะป่า ก็ถูกเกณฑ์เข้ามาด้วย เมื่อนางรจนาออกมาเลือกคู่ บุญบันดาลให้เห็นรูปทองของพระสังข์ทองแทนที่จะเป็นเงาะป่า นางจึงเลือกเงาะป่า เจ้าเมืองพาราณสีกริ้วมากขับไล่นางรจนาออกไปอยู่นอกเมือง
เจ้าเมืองพาราณสีมีความแค้นเคืองเงาะป่าคิดจะกำจัดจึงออกคำสั่งให้เขยทั้งหกและเงาะป่าไปหาเนื้อมาคนละตัว ใครหามาไม่ได้จะถูกประหารชีวิต เงาะป่าเข้าไปในป่าถอดรูปเงาะออกแล้วร่ายมนต์เรียกเนื้อ เนื้อทั้งหลายก็มาอออยู่ที่พระสังข์ทอง หกเขยหาเนื้อทั้งวันก็ไม่ได้จนกระทั่งมาพบพระสังข์ทอง ซึ่งหกเขยคิดว่าเป็นเทวดา หกเขยขอเนื้อจากพระสังข์ทอง พระสังข์ทองให้โดยขอตัดใบหูคนละหน่อย หกเขยก็ยอม ทั้งหมดก็นำเนื้อไปให้เจ้าเมืองพาราณสี
เจ้าเมืองพาราณสียังทำร้ายเงาะป่าไม่ได้ก็แค้นใจจึงมีคำสั่งให้เขยทุกคนหาปลาไปถวาย พระสังข์ทองก็ถอดรูปเงาะป่าแล้วร่ายมนต์เรียกปลา ปลาก็มาออคับคั่งอยู่ที่พระสังข์ทอง หกเขยหาปลาไม่ได้ทั้งวันและเมื่อพบปลามาอออยู่ที่พระสังข์ทองก็กราบไหว้อ้ออนวอนขอปลา พระสังข์ทองยกให้โดยขอตัดปลายจมูกหกเขยคนละหน่อย แล้วหกเขยกับเงาะป่านำปลาไปถวายเจ้าเมืองพาราณสี
เจ้าเมืองพาราณสีขัดแค้นใจที่ทำอันตรายเงาะป่าไม่ได้ก็เฝ้าคิดหาวิธีการอื่นที่จะกำจัดเงาะป่า พระอินทร์บนสวรรค์ทราบถึงการคิดร้ายของเจ้าเมืองพาราณสีต่อเงาะป่าจึงลงมาช่วย โดยเหาะลงมาลอยอยู่หน้าพระที่นั่งของเจ้าเมืองพาราณสี และกล่าวท้าทายว่าให้เจ้าเมืองพาราณสีหาคนดีมีฝีมือเหาะขึ้นมาตีคลีกับพระอินทร์บนอากาศภายในเจ็ดวัน ถ้าหาไม่ได้ก็จะฆ่าเจ้าเมืองพาราณสี
เจ้าเมืองพาราณสีตกใจมากให้หกเขยและบรรดาเสนาอำมาตย์ช่วยกันหาผู้อาสาเหาะไปตีคลี ทุกคนก็จนปัญญา เจ้าเมืองพาราณสีจึงให้ป่าวประกาศว่าผู้ใดที่สามารถเหาะไปตีคลีกับพระอินทร์บนอากาศได้จะยกราชสมบัติให้ แต่ก็ยังไม่มีผู้ใดมาอาสา นางมณฑาเทวีพระมเหสีของเจ้าเมืองพาราณสีจึงแอบไปหานางรจนา และขอให้นางรจนาอ้อนวอนให้เงาะป่าช่วย เงาะป่าสงสารทั้งสองนางจึงรับปาก และในวันที่เจ็ดเงาะป่าก็ถอดรูปเป็นพระสังข์ทองใส่เกือกแก้วเหาะขึ้นไปตีคลีกับพระอินทร์จนชนะ พระอินทร์ก็กลับไปบนสวรรค์
เจ้าเมืองพาราณสีดีพระทัยมากได้ขอโทษพระสังข์ทองและยกราชสมบัติให้ตามสัญญา พระสังข์ทองขอลาไปตามหาพระนางจันทราเทวีก่อน พระสังข์ทองเดินทางไปตามเมืองต่าง ๆ จนกระทั่งมาถึงเมืองมัทราษฎร์ จึงไปสืบถามที่บ้านธนัญชัยเศรษฐีว่ารู้จักหญิงที่ชื่อจันทราเทวีหรือไม่ ธนัญชัยเศรษฐีบอกว่าไม่รู้จัก แต่ก็เชิญพระสังข์ทองอยู่รับประทานอาหาร พระสังข์ทองสังเกตว่าอาหารมีรสปราณีตซึ่งผู้ทำจะต้องเป็นผู้ทำอาหารถวายพระเจ้าแผ่นดิน จึงขอพบแม่ครัวและซักถามประวัติก็ทราบว่าเป็นพระนางจันทราเทวีจึงดีใจมาก และขอธนัญชัยเศรษฐีที่จะรับพระมารดากลับไป
พระสังข์ทองนำพระมารดากลับไปอยู่ที่เมืองพาราณสี พระสังข์ทอง ปกครองเมืองพาราณสีจนเจริญรุ่งเรือง กิติศัพท์แพร่ไปยังนครอื่น ๆจนถึงเมืองพรหมนคร ชาวเมืองพรหมนครก็อพยพมาอยู่เมืองพาราณสี เสนาอำมาตย์เมืองพรหมนครจึงทูลเสนอพระเจ้าพรหมทัตว่าพระสังข์ทองพระราชโอรสครองเมืองพาราณสีมีความสามารถทำให้รุ่งเรืองจึงเห็นสมควรที่จะอัญเชิญพระสังข์ทองมาครองเมืองพรหมนครเพื่อสร้างความเจริญ พระเจ้าพรหมทัตเมื่อทรงทราบว่าพระโอรสยังมีชีวิตอยู่และมีความสามารถก็ยินดี และสำนึกผิดให้อำมาตย์ผู้ใหญ่ไปเมืองพาราณสีและทูลเชิญพระสังข์ทองและพระนางจันทราเทวีกลับเมืองพรหมนคร พระสังข์ทองสงสารพระบิดาจึงอ้อนวอนพระมารดาให้อภัยพระเจ้าพรหมทัตและเดินทางกลับเมืองพรหมนคร พระเจ้าพรหมทัตก็มอบราชสมบัติให้พระสังข์ทองปกครองบ้าน เมืองเป็นสุขสืบมา
https://sangthong.wordpress.com
ลักษณะคำประพันธ์
ลักษณะคำประพันธ์
1.1.เป็นกลอนบทละคร บทหนึ่งมี 4 วรรค วรรคละ 6 คำ หนึ่งบทมี 2บาท เรียกว่าบาทเอกและบาทโท 1 บาท เท่ากับ 1 คำกลอน
2.คำขึ้นต้นบท กลอนบทละครมีคำขึ้นต้นหลายแบบ และคำขึ้นต้นนั้นไม่จำเป็นต้องมีจำนวนเท่ากับวรรคสดับ อาจจะมีเพียง 2 คำก็ได้
บทละครพระราชนิพนธ์เรื่อง สังข์ทอง มี 9 ตอน คือ
- กำเนิดพระสังข์
- ถ่วงพระสังข์
- นางพันธุรัตน์เลี้ยงพระสังข์
- พระสังข์หนีนางพันธุรัต
- ท้าวสามนต์ให้นางทั้งเจ็ดเลือกคู่
- พระสังข์ได้นางรจนา
- ท้าวสามนต์ให้ลูกเขยหาปลาหาเนื้อ
- พระสังข์ตีคลี
- ท้าวยศวิมลตามพระสังข์
คุณค่าของเรื่องสังข์ทอง
เรื่องสังข์ทอง
บทละครนอก มิใช่บทสำหรับแสดงละครเพียงอย่างเดียว แต่ใช้เป็นวรรณคดีสำหรับอ่านด้วย โดยมีความสำคัญควบคู่กันไป เพราะในการอ่านบทละครนั้น ผู้อ่านจะอ่านเนื้อเรื่องโดยตลอด ส่วนในการแสดงก็คงจะนิยมนำมาแสดงเป็นตอนๆ ไม่ได้แสดงที่เดียว จบทั้งเรื่อง เช่น เรื่องสังข์ทองก็นิยมแสดงตอนนางมณฑาลงกระท่อมมากกว่าตอนอื่นๆ เป็นต้น
ผู้ดูละครต้องการความบันเทิงและการผ่อนคลายอารมณ์จากความตึงเครียด ต้องการประสบการณ์ใหม่ๆ ที่ได้จากการดูละคร ซึ่งก็เป็นความจริงของชีวิตที่แฝงอยู่ในบทละครนั้น ละครจึงมีส่วนช่วยและมีบทบาทในการดำเนินชีวิตของมนุษย์อยู่มาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสมัยก่อนที่คนไทยส่วนใหญ่อ่านหนังสือไม่ออก และมีมหรสพให้ชมอยู่ไม่กี่ชนิด
เนื้อหาของบทละครนอกนั้น มีจุดประสงค์ที่จะสื่อสารคุณค่าทางศิลปะและให้ความจริงของชีวิตโดยเป็นวรรณกรรมที่ใช้ประกอบการแสดง ซึ่งเป็นสิ่งที่สื่อสารโดยอาศัยบทบาทของตัวละครบนเวที ซึ่งจะช่วยทำให้เกิดความรู้สึกอิ่มเอิบและพอใจ
คุณค่าของบทละครนอกเรื่องสังข์ทอง แยกได้เป็น ๒ ด้าน คือ
๑.คุณค่าด้านเนื้อหา
๒.คุณค่าด้านศิลปะ
คุณค่าด้านเนื้อหา เนื้อหาของบทละครนอกแสดงให้เห็นความคิดของผู้แต่งที่ต้องการสื่อให้ผู้อ่านผู้ฟังทราบ ดังนี้
๑.ค่านิยมในสังคม วัฒนธรรม และแนวทางการดำเนินชีวิต โดยต้องการปลูกฝังทัศนคติลงไปในจิตใจของคนไทย เช่น ทัศนคติเกี่ยวกับความซื่อสัตย์จงรักภักดีของผู้หญิงที่มีต่อสามี ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือ บทบาทของนางจันท์เทวีและนางรจนา เช่น นางรจนาคร่ำครวญตอนท้าวสามนต์ให้หาปลาถวาย
๒.การรักพวกพ้อง รักชาติบ้านเมือง ตัวอย่างที่เห็นได้อย่างชัดเจนคือ พฤติการณ์ของหกเขย และการตีคลีพนันกับพระอินทร์ เช่น ตอนนางมณฑาขอร้องให้เจ้าเงาะช่วย
๓.การทำความดี มีตัวอย่างปรากฏตลอดทั้งเรื่อง เช่น การที่ท้าวภุชงค์และนางพันธุรัตรับเลี้ยงดูพระสังข์ ตายายช่วยเหลือนางจันท์เทวีนายประตูเมืองสามนต์ช่วยเหลือท้าวยศวิมล เป็นต้น
การปลูกฝังทัศนคติโดยใช้วรรณกรรมประเภทบทละครเป็นเครื่องมือนี้เป็นการกระทำที่แนบเนียนและค่อนข้างได้ผล เพราะผู้ดูละครหรือผู้อ่านบทละครเกิดความรู้สึกอยากเอาอย่างตัวละครหรือนำตัวเองไปเทียบกับตัวละครบางตัว แล้วปฏิบัติให้เหมือนตัวละครนั้นๆ ดังนั้น ผู้ดูละครหรือผู้อ่านบทละครก็จะได้รับความรู้เพิ่มขึ้น ได้มีโอกาสใช้ความคิดเกี่ยวกับเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในวิถีชีวิตของตัวละครซึ่งก็คือการเลียนแบบพฤติกรรมในชีวิตจริงนั่นเองทำให้มีทัศนะและความคิดที่กว้างขวางขึ้น และนอกจากนี้ยังได้รับความบันเทิงจากการใช้วรรณกรรมประเภทบทละครเป็นเครื่องช่วยระบายอารมณ์ได้อีกด้วย
นอกจากนี้เรื่องสังข์ทองยังเสนอแนวคิดที่สามารถนำไปใช้ในชีวิตจริงได้คือ “ การพิจารณาบุคคล ” ซึ่งแสดงให้เห็นว่า ในการพิจารณาบุคคลนั้น เราไม่ควรมองจากรูปลักษณ์ภายนอกแล้วตัดสินว่าบุคคลนั้นเป็นอย่างไร แต่ต้องมองลึกลงไป และคนที่มองดูแต่ภายนอกว่ามีลักษณะที่ดีหรือสวยงาม ก็อาจจะไม่ใช่คนดีก็ได้ สำหรับเรื่องสังข์ทองนี้ พระสังข์ มีสภาพที่ปรากฏแก่สายตาบุคคลทั่วไปว่า คนที่รูปร่างหน้าตาอัปลักษณ์เช่นเจ้าเงาะก็อาจจะมีความสามรถอย่างมาก เป็นด้นว่า การใช้เวทมนตร์ในการหาปลาหาเนื้อ โดยที่เขยอีกหกคนหาไม่ได้ ถึงแม้เจ้าเงาะจะใช้เวทมนต์และเล่ห์เหลี่ยมในการหาสิ่งของเหล่านี้ก็ตาม ก็คงจะเป็นการสื่อสารให้ผู้ดูละครหรือผู้อ่านบทละครได้ข้อคิดว่า ในการพิจารณาบุคคลนั้น ไม่ควรพิจารณาจากรูปร่างหน้าตา ชาติตระกูล หรือยศศักดิ์ แต่ควรดูที่สติปัญญา ความรู้ ความสามารถ และความดีงาม และลึกลงไปกว่านั้นก็คือ คุณสมบัติเหล่านี้เป็นสิ่งที่น่าจะแฝงอยู่ในตัวบุคคลเช่นเดียวกับรูปทองของพระสังข์ ที่แฝงอยู่ในรูปเงาะนั่นเอง
เนื่องจากบทละครนอกเป็นวรรณคดีที่แต่งขึ้นมาเพื่อความบันเทิง และมีความมุ่งหมายในการแสดงเนื้อเรื่องมากกว่าที่จะแสดงศิลปะอย่างอื่น เนื้อเรื่องที่ผูกขึ้นมานั้นถึงแม้ว่าจะเป็นทำนองเดียวกับเรื่องจักรๆ วงศ์ๆ ก็ตาม แต่ก็ได้พยายามเสนอความแปลกใหม่บางอย่างให้ผู้ดูละครหรือผู้อ่านบทละครได้เกดความสนุกสนานเพลิดเพลินกับความแปลกใหม่นั้น ความแปลกใหม่ประการหนึ่งก็คือ การสร้างตัวละครพิเศษพิสดารไปจากความเป็นธรรมดาแต่ตัวละครเหล่านี้มีกำเนิดที่แปลกประหลาดหรือมีคุณสมบัติพิสดารก็จริง ทว่าพวกเขาก็ยังมีลักษณะของมนุษย์ธรรมดาที่มีแนวทางการดำเนินชีวิต มีอุดมคติ มีหลักยึดมั่นประจำใจ และความต้องการต่างๆ เช่นเดียวกับมนุษย์ธรรมดาเราจึงสามารถอธิบายพฤติกรรมและความรู้สึกนึกคิดของตัวละครเหล่านั้นได้เช่นเดียวกับการอธิบายพฤติกรรมของบุคคลจริงๆ
คุณค่าด้านศิลปะ
คุณค่าด้านศิลปะละครนอกส่วนใหญ่จะได้จากการแสดง ผู้แสดงจะเสนอศิลปะในรูปของทำนองเพลง การร่ายรำ และถ้อยคำในบทร้อง พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ทรงพระราชนิพนธ์บทละครด้วยความพิถีพิถันในเรื่องท่ารำ และการแสดงเป็นอย่างมาก การทรงพระราชนิพนธ์บทละครในนั้น ทรงระวังให้ถ้อยคำในบทละครทุกตอนเหมาะกับท่ารำตอนไหนที่จะรำไม่ได้หรือแสดงได้ไม่ดี ก็ดัดแปลงหรือตัดทิ้งจนแสดงได้เรียบร้อยดีเล่ากันว่าบทที่แต่งแล้วนั้นพระราชทานให้เจ้าฟ้ากรมหลวงพิทักษมนตรีนำไปซ้อมกระบวนรำ เจ้าฟ้ากรมหลวงพิทักษมนตรีทรงเอาพระฉาย (กระจก) บานใหญ่มาตั้งแล้วทรงรำตามบทนั้น ทอดพระเนตรท่ารำที่ทรงประดิษฐ์ขึ้นในพระฉายแล้วแก้ไขดัดแปลงโดยมีนาฏศิลปินสองคนเป็นที่ปรึกษา บางครั้งกระบวนรำขัดข้องก็อาจกราบทูลขอให้แก้บท เมื่อกระบวนรำงามดีแล้วก็ให้นากศิลปินที่ปรึกษาไปหัดละครหลวง แล้วให้ละครหลวงมาซ้อมถวายพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ให้ทรงติและแก้ไขกระบวนรำอีกชั้นหนึ่ง จึงได้ยุติเป็นแบบแผน (สมเด็จพระบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ๒๕๐๖ : ๑๐๓)
วิธีที่ทรงพระราชนิพนธ์บทละครนอกก็คงจะพิถีพิถันเช่นเดียวกับบทละครใน แต่อาจจะไม่ประณีตบรรจงเท่ากับละครใน เพราะแบบแผนในการแสดงต่างกัน อย่างไรก็ตาม บทกลอนบางตอนในเรื่องสังข์ทอง ทำให้มองเห็นความงดงามของตัวละครได้จากการใช้ภาษา เช่น บทอาบน้ำแต่งตัวของพระสังข์ ตอนที่ถอดรูปเงาะเพื่อออกไปตีคลีกับพระอินทร์ ใช้เพลง “ลงสรงมอญ”
http://www.thaigoodview.com/node/47816
บทละครนอก มิใช่บทสำหรับแสดงละครเพียงอย่างเดียว แต่ใช้เป็นวรรณคดีสำหรับอ่านด้วย โดยมีความสำคัญควบคู่กันไป เพราะในการอ่านบทละครนั้น ผู้อ่านจะอ่านเนื้อเรื่องโดยตลอด ส่วนในการแสดงก็คงจะนิยมนำมาแสดงเป็นตอนๆ ไม่ได้แสดงที่เดียว จบทั้งเรื่อง เช่น เรื่องสังข์ทองก็นิยมแสดงตอนนางมณฑาลงกระท่อมมากกว่าตอนอื่นๆ เป็นต้น
ผู้ดูละครต้องการความบันเทิงและการผ่อนคลายอารมณ์จากความตึงเครียด ต้องการประสบการณ์ใหม่ๆ ที่ได้จากการดูละคร ซึ่งก็เป็นความจริงของชีวิตที่แฝงอยู่ในบทละครนั้น ละครจึงมีส่วนช่วยและมีบทบาทในการดำเนินชีวิตของมนุษย์อยู่มาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสมัยก่อนที่คนไทยส่วนใหญ่อ่านหนังสือไม่ออก และมีมหรสพให้ชมอยู่ไม่กี่ชนิด
เนื้อหาของบทละครนอกนั้น มีจุดประสงค์ที่จะสื่อสารคุณค่าทางศิลปะและให้ความจริงของชีวิตโดยเป็นวรรณกรรมที่ใช้ประกอบการแสดง ซึ่งเป็นสิ่งที่สื่อสารโดยอาศัยบทบาทของตัวละครบนเวที ซึ่งจะช่วยทำให้เกิดความรู้สึกอิ่มเอิบและพอใจ
คุณค่าของบทละครนอกเรื่องสังข์ทอง แยกได้เป็น ๒ ด้าน คือ
๑.คุณค่าด้านเนื้อหา
๒.คุณค่าด้านศิลปะ
คุณค่าด้านเนื้อหา เนื้อหาของบทละครนอกแสดงให้เห็นความคิดของผู้แต่งที่ต้องการสื่อให้ผู้อ่านผู้ฟังทราบ ดังนี้
๑.ค่านิยมในสังคม วัฒนธรรม และแนวทางการดำเนินชีวิต โดยต้องการปลูกฝังทัศนคติลงไปในจิตใจของคนไทย เช่น ทัศนคติเกี่ยวกับความซื่อสัตย์จงรักภักดีของผู้หญิงที่มีต่อสามี ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือ บทบาทของนางจันท์เทวีและนางรจนา เช่น นางรจนาคร่ำครวญตอนท้าวสามนต์ให้หาปลาถวาย
๒.การรักพวกพ้อง รักชาติบ้านเมือง ตัวอย่างที่เห็นได้อย่างชัดเจนคือ พฤติการณ์ของหกเขย และการตีคลีพนันกับพระอินทร์ เช่น ตอนนางมณฑาขอร้องให้เจ้าเงาะช่วย
๓.การทำความดี มีตัวอย่างปรากฏตลอดทั้งเรื่อง เช่น การที่ท้าวภุชงค์และนางพันธุรัตรับเลี้ยงดูพระสังข์ ตายายช่วยเหลือนางจันท์เทวีนายประตูเมืองสามนต์ช่วยเหลือท้าวยศวิมล เป็นต้น
การปลูกฝังทัศนคติโดยใช้วรรณกรรมประเภทบทละครเป็นเครื่องมือนี้เป็นการกระทำที่แนบเนียนและค่อนข้างได้ผล เพราะผู้ดูละครหรือผู้อ่านบทละครเกิดความรู้สึกอยากเอาอย่างตัวละครหรือนำตัวเองไปเทียบกับตัวละครบางตัว แล้วปฏิบัติให้เหมือนตัวละครนั้นๆ ดังนั้น ผู้ดูละครหรือผู้อ่านบทละครก็จะได้รับความรู้เพิ่มขึ้น ได้มีโอกาสใช้ความคิดเกี่ยวกับเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในวิถีชีวิตของตัวละครซึ่งก็คือการเลียนแบบพฤติกรรมในชีวิตจริงนั่นเองทำให้มีทัศนะและความคิดที่กว้างขวางขึ้น และนอกจากนี้ยังได้รับความบันเทิงจากการใช้วรรณกรรมประเภทบทละครเป็นเครื่องช่วยระบายอารมณ์ได้อีกด้วย
นอกจากนี้เรื่องสังข์ทองยังเสนอแนวคิดที่สามารถนำไปใช้ในชีวิตจริงได้คือ “ การพิจารณาบุคคล ” ซึ่งแสดงให้เห็นว่า ในการพิจารณาบุคคลนั้น เราไม่ควรมองจากรูปลักษณ์ภายนอกแล้วตัดสินว่าบุคคลนั้นเป็นอย่างไร แต่ต้องมองลึกลงไป และคนที่มองดูแต่ภายนอกว่ามีลักษณะที่ดีหรือสวยงาม ก็อาจจะไม่ใช่คนดีก็ได้ สำหรับเรื่องสังข์ทองนี้ พระสังข์ มีสภาพที่ปรากฏแก่สายตาบุคคลทั่วไปว่า คนที่รูปร่างหน้าตาอัปลักษณ์เช่นเจ้าเงาะก็อาจจะมีความสามรถอย่างมาก เป็นด้นว่า การใช้เวทมนตร์ในการหาปลาหาเนื้อ โดยที่เขยอีกหกคนหาไม่ได้ ถึงแม้เจ้าเงาะจะใช้เวทมนต์และเล่ห์เหลี่ยมในการหาสิ่งของเหล่านี้ก็ตาม ก็คงจะเป็นการสื่อสารให้ผู้ดูละครหรือผู้อ่านบทละครได้ข้อคิดว่า ในการพิจารณาบุคคลนั้น ไม่ควรพิจารณาจากรูปร่างหน้าตา ชาติตระกูล หรือยศศักดิ์ แต่ควรดูที่สติปัญญา ความรู้ ความสามารถ และความดีงาม และลึกลงไปกว่านั้นก็คือ คุณสมบัติเหล่านี้เป็นสิ่งที่น่าจะแฝงอยู่ในตัวบุคคลเช่นเดียวกับรูปทองของพระสังข์ ที่แฝงอยู่ในรูปเงาะนั่นเอง
เนื่องจากบทละครนอกเป็นวรรณคดีที่แต่งขึ้นมาเพื่อความบันเทิง และมีความมุ่งหมายในการแสดงเนื้อเรื่องมากกว่าที่จะแสดงศิลปะอย่างอื่น เนื้อเรื่องที่ผูกขึ้นมานั้นถึงแม้ว่าจะเป็นทำนองเดียวกับเรื่องจักรๆ วงศ์ๆ ก็ตาม แต่ก็ได้พยายามเสนอความแปลกใหม่บางอย่างให้ผู้ดูละครหรือผู้อ่านบทละครได้เกดความสนุกสนานเพลิดเพลินกับความแปลกใหม่นั้น ความแปลกใหม่ประการหนึ่งก็คือ การสร้างตัวละครพิเศษพิสดารไปจากความเป็นธรรมดาแต่ตัวละครเหล่านี้มีกำเนิดที่แปลกประหลาดหรือมีคุณสมบัติพิสดารก็จริง ทว่าพวกเขาก็ยังมีลักษณะของมนุษย์ธรรมดาที่มีแนวทางการดำเนินชีวิต มีอุดมคติ มีหลักยึดมั่นประจำใจ และความต้องการต่างๆ เช่นเดียวกับมนุษย์ธรรมดาเราจึงสามารถอธิบายพฤติกรรมและความรู้สึกนึกคิดของตัวละครเหล่านั้นได้เช่นเดียวกับการอธิบายพฤติกรรมของบุคคลจริงๆ
คุณค่าด้านศิลปะ
คุณค่าด้านศิลปะละครนอกส่วนใหญ่จะได้จากการแสดง ผู้แสดงจะเสนอศิลปะในรูปของทำนองเพลง การร่ายรำ และถ้อยคำในบทร้อง พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ทรงพระราชนิพนธ์บทละครด้วยความพิถีพิถันในเรื่องท่ารำ และการแสดงเป็นอย่างมาก การทรงพระราชนิพนธ์บทละครในนั้น ทรงระวังให้ถ้อยคำในบทละครทุกตอนเหมาะกับท่ารำตอนไหนที่จะรำไม่ได้หรือแสดงได้ไม่ดี ก็ดัดแปลงหรือตัดทิ้งจนแสดงได้เรียบร้อยดีเล่ากันว่าบทที่แต่งแล้วนั้นพระราชทานให้เจ้าฟ้ากรมหลวงพิทักษมนตรีนำไปซ้อมกระบวนรำ เจ้าฟ้ากรมหลวงพิทักษมนตรีทรงเอาพระฉาย (กระจก) บานใหญ่มาตั้งแล้วทรงรำตามบทนั้น ทอดพระเนตรท่ารำที่ทรงประดิษฐ์ขึ้นในพระฉายแล้วแก้ไขดัดแปลงโดยมีนาฏศิลปินสองคนเป็นที่ปรึกษา บางครั้งกระบวนรำขัดข้องก็อาจกราบทูลขอให้แก้บท เมื่อกระบวนรำงามดีแล้วก็ให้นากศิลปินที่ปรึกษาไปหัดละครหลวง แล้วให้ละครหลวงมาซ้อมถวายพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ให้ทรงติและแก้ไขกระบวนรำอีกชั้นหนึ่ง จึงได้ยุติเป็นแบบแผน (สมเด็จพระบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ๒๕๐๖ : ๑๐๓)
วิธีที่ทรงพระราชนิพนธ์บทละครนอกก็คงจะพิถีพิถันเช่นเดียวกับบทละครใน แต่อาจจะไม่ประณีตบรรจงเท่ากับละครใน เพราะแบบแผนในการแสดงต่างกัน อย่างไรก็ตาม บทกลอนบางตอนในเรื่องสังข์ทอง ทำให้มองเห็นความงดงามของตัวละครได้จากการใช้ภาษา เช่น บทอาบน้ำแต่งตัวของพระสังข์ ตอนที่ถอดรูปเงาะเพื่อออกไปตีคลีกับพระอินทร์ ใช้เพลง “ลงสรงมอญ”
http://www.thaigoodview.com/node/47816
วิเคราะห์ตัวละครเรื่องสังข์ทอง
วิเคราะห์ตัวละคร
พระสังข์
พระสังข์เป็นตัวเอกที่มีรูปงามตามแบบการสร้างตัวเอกในวรรณคดีไทย ทั่วไป แต่ในตอนเด็กปรากฏเป็น ๒ รูป คือ รูปหอยสังข์กับรูปกุมาร ส่วนตอนเป็นหนุ่มก็มี ๒ รูปเช่นเดียวกัน คือ รูปเงาะกับรูปทอง ทั้งรูปหอยสังข์และรูปเงาะเปรียบเสมือน “ เกาะ” คุ้มครองพระสังข์ ในตอนเด็กเมื่อนางจันท์เทวีต่อยหอยสังข์แตกแหลกไป พระสังข์ร้องไห้คร่ำครวญ ต่อว่าพระมารดาว่า พระแม่ต่อยสังข์ดังชีวิต จะชมชิดลูกนี้สักกี่วัน ซึ่งเป็นการบอกเป็นนัยๆ ถึงภัยที่จะมาถึงและต่อมาพระองค์ก็ถูกจับไปถ่วงน้ำ เพราะเมื่อไม่ได้ซ่อนตัวอยู่ในหอยสังข์ ชาวบ้านก็เห็นและเล่าลือกันต่อๆไป จนท้าวยศวิมลและนางจันทารู้ ส่วนรูปเงาะนั้นพระสังข์กราบทูลท้าวสามลว่า “ ซึ่งแปลงมาจะหาคู่ครอง ” ซึ่งแสดงว่ารูปเงาะนี้นอกจากจะเป็นของวิเศษ เป็นเกราะกำบังแล้ว ยังเป็นเครื่องมือในการหาคู่ครองที่เหมาะสมคือมีบุญบารมีเทียบเท่ากัน ด้วย
ตัวโกง
ตัวโกง คือตัวละครฝ่ายตรงข้ามกับตัวเอก มักมีบทบาทร้ายเพียงด้านเดียว ไม่มีคุณธรรม ไม่ปฏิบัติตนตามหลักศีลธรรม บทบาทของตัวโกงจะเป็นไปในทำนองเดียวกัน คือทำให้คู่รักหรือสามีภรรยาต้องพลัดพรากจากกัน หรือมีพฤติการณ์ไม่ดี คอยอิจฉาริษยาตัวเอกและคนทั่วไป
ตัวโกงในวรรณคดีไทย มักจะมีแต่ความร้ายกาจอย่างเดียว ความเลวร้ายนั้นมักเป็นไปอย่างสมเหตุสมผล และช่วยให้เรื่องดำเนินไปได้ตามความมุ่งหมาย ตัวละครที่มีบทบาทเด่นด้านนี้คือ นางจันทาและหกเขย
นางจันทา
บทบาทของนางจันทาเป็นบทบาทตัวโกงอย่างแท้จริง เป็นคนใจบาปหยาบช้า เหี้ยมโหด ขี้อิจฉาริษยา ทำเรื่องร้ายๆ ได้ทุกอย่างเพื่อให้อีกฝ่ายหนึ่งย่อยับไป นางจันทาเป็นเมียน้อย ซึ่งสำหรับสังคมไทยในสมัยโบราณนั้น ความหึงหวงและการชิงรักหักสวาทกันระหว่างเมียหลวงกับเมียน้อยเป็นเรื่องปกติ ธรรมดา และกล่าวไว้ในวรรณคดีหลายเรื่อง แต่พฤติการณ์เหล่านี้มักรุนแรงถึงขนาดพยายามทำลายล้างอีกฝ่ายหนึ่งให้มีอัน เป็นไป นางจันทาพยายามทำเสน่ห์ท้าวยศวิมล ให้ขับมเหสีกับพระโอรสออกไปจากวัง ต่อมาก็ยุให้ท้าวยศวิมลสั่งให้ฆ่าพระสังข์ ให้ตั้งนางเป็นมเหสีเอก แต่ในที่สุดนางก็ได้รับผลแห่งการกระทำชั่วของตัวเอง
หกเขย
หกเขยเป็นโอรสกษัตริย์ที่ธิดาทั้งหกของท้าวสามนต์เลือกเป็นคู่ครองแม้หกเขย จะเป็นเจ้าชายที่มี “ รูปร่างงามหนักหนา ” แต่ก็ด้อยสติปัญญาเสียจนมีลักษณะชื่อ เซ่อ จนน่าขันในสายตาผู้อ่าน แม้การบรรยายของผู้นิพนธ์ก็ยังแสดงให้เห็นว่าหกเขย “ เคอะเซอะ ” ไปหาพระสังข์ จำต้องยอมให้พระสังข์เชือดจมูกกับใบหูไปจนมีลักษณะ “ หูแหว่งจมูกวิ่น ” ประจานตัวเองไปตลอดชีวิตเพื่อความอยู่รอดของตัวเอง ด้วยกลัวว่าท้าวสามนต์จะประหารชีวิตเสีย ถ้าไม่ได้ปลาได้เนื้อไปตามต้องการ หกเขยต้องเสียจมูกกับหู และความเจ็บปวดทั้งกายและใจแลกกับปลาตายคนละตัวสองตัวและเนื้อทรายขาหักคนละ ตัว มิหนำซ้ำยังถูกเยาะเย้ยจากฝ่ายพระเอกอยู่ตลอดเวลา เวลาที่พระสังข์พูดถึงหกเขย ก็ใช้คำพูดว่า “ อ้ายหกเขยเซอะ ” เป็นการดูหมิ่นอยู่เสมอ
ท้าวยศวิมล
ท้าวยศวิมลมีบทบาทในตอนเปิดเรื่องและบทบาทสำคัญในตอนท้ายเรื่องพระองค์เป็น กษัตริย์ที่มีความตั้งใจดีต่อบ้านเมืองคือ ยอมเสียสละลูกเมีย ในบทละครยังย้ำในเรื่องการทำเสน่ห์ เพื่อให้รู้สึกว่าท้าวยศวิมลไม่ใช่คนที่หูเบาหลงเชื่อนางจันทาฝ่ายเดียว แท้ที่จริงพระองค์ก็รักพระมเหสี รักพระโอรส แต่ถูกเวทมนตร์มายาทำให้เป็นไป
ตอนที่ท้าวยศวิมลจะออกตามพระสังข์ ก็คือพระสังข์ถอดรูปเงาะ ได้รับการยอมรับจากท้าวสามนต์แล้ว พระอินทร์ก็มาปรากฏให้เห็นและต่อว่าพระองค์
ท้าวยศวิมลเป็นคนที่ยอมรับความจริง เพราะเมื่อไปงอนง้อนางจันท์เทวีก็ตรัสว่า “เดี๋ยวนี้รู้สึกตัวว่าชั่วช้า จะออกมาลุแก่โทษที่ทำผิด” พอปรับความเข้าใจกันได้ ก็ชวนนางจันท์เทวีไปตามหาพระโอรสโดยปลอมเป็นสามัญชน พระองค์ได้รับความลำบากยากเข็ญกว่าจะได้พบพระสังข์ บทบาทของพระองค์น่าเศร้าสลดใจมากกว่าตลกขบขัน
ท้าวสามนต์ ท้าวสามนต์เป็นกษัตริย์ที่มีบทบาทตรงกันข้ามกับท้าวทศยศวิมลอย่างสิ้นเชิง เพราะหากตัดเรื่องพระราชอำนาจสูงสุดที่สั่งประหารชีวิตคนออกไปแล้ว
ท้าวยศวิมลไม่มีลักษณะตลกขบขันเลยแม้แต่น้อย แต่ท้าวสามนต์มีบทบาทที่น่าขัน เช่น ตอนที่พระสังข์ตีคลี ลักษณะนิสัยโดยทั่วไปของท้าวสามนต์ก็คือ เป็นคนเอาแต่ใจ จิตใจโลเลไม่แน่นอน ต้องการอะไรแล้วจะต้องได้ เช่นที่พยายามแกล้งเจ้าเงาะ “แกล้งให้หาปลาจะฆ่าฟัน อ้ายเงาะมันกลับได้มามากมาย ยิ่งคิดยิ่งแค้นแน่นใจ แม้นมิฆ่ามันได้ก็ไม่หาย” แต่พอพระสังข์ถอดเงาะแล้ว ก็กลับเข้าข้างพระสังข์ ไม่นึกจิตใจของหกเขยและไม่สงสารธิดาทั้งหกด้วย
พระมเหสี
นางมณฑาเป็นแบบฉบับของ “แม่” ทั่วๆไป คือ รักลูก ห่วงใยลูกแม้ลูกจะทำผิดก็พร้อมจะให้อภัย และมีความยุติธรรมเป็นคุณธรรมประจำใจ เมื่อนางรจนาเลือกเจาเงาะเป็นคู่ครอง นางผิดหวังมาก จึงตัดพ้อต่อว่านางรจนา “ ควรหรือมาเป็นได้เช่นนี้ เสียทีแม่รักเจ้านักหนา ร่ำพลางนางทรงโศกา กัลยาเพียงจะสิ้นสมประดี ” แต่นางก็มีสติดีที่จะไตร่ตรองหาเหตุผลที่พระธิดากระทำเช่านั้น ทั้งยังเตือนสติท้าวสามนต์ไม่ให้ลงโทษพระธิดาอย่างรุนแรงด้วย นางมณฑาเป็นคนที่ทีเหตุผล และพยายามนำเหตุผลมาอธิบายให้พระสวามีผู้มัวเมาในโทสะฟัง เพื่อให้มองเห็นความสำคัญของเจ้าเงาะ พยายามไกล่เกลี่ยให้ทุกฝ่ายประนีประนอมปรองดองกันเพื่อความสงบสุข แต่การบรรยายถึงนางมณฑาในบางครั้งจะมีลักษณะตลกขบขัน ตามแบบฉบับของการเล่นละครนอก ทั้งๆที่นางเป็นนางกษัตริย์ น่าสังเกตว่าบทตลกขบขันนี้จะแสดงออกเฉพาะนางมณฑาเท่านั้น ส่วนนางจันท์เทวีจะไม่มีบทบทน่าขบขันเลย
ตัวละครอมนุษย์ ตัวละครอมนุษย์ คือตัวละครที่ไม่ใช่มนุษย์ธรรมดา แต่จะมีลักษณะเด่นและมีพลังอำนาจที่ไม่เหมือนมนุษย์ เช่น เทวดา ยักษ์ ครุฑ นาค ฯลฯ ตัวละครเหล่านี้มีบทบาทและการแสดงออกเช่นเดียวกับมนุษย์ แต่ไม่ใช่ตัวเอกของเรื่อง ถ้าเป็นตัวละครฝ่ายดีก็มักจะเป็นผู้ช่วยตัวเอก ถ้าเป็นละครฝ่ายร้ายก็จะมีบทบาทเป็นศัตรูกับตัวเอก
ตัวละครอมนุษย์
ตัวละครอมนุษย์ที่ปรากฏบ่อยครั้งในวรรณคดีไทยคือ พระอินทร์ ซึ่งเป็นผู้ช่วยตัวเอกในวรรณคดีไทยหลายเรื่อง โดยเฉพาะวรรณคดีที่มีที่มาจากชาดกตัวละครอมนุษย์นี้มักจะมีอำนาจพิเศษอย่าง ใดอย่างหนึ่งหรือหลายอย่าง เป็นได้ทั้งตัวละครฝ่ายดีและฝ่ายร้าย ตัวละครฝ่ายดีจะช่วยแก้อุปสรรคให้กับตัวเอกช่วยเหลือ แก้สถานการณ์ ฯลฯ โดยมากจะปรากฏในรูปของพระอินทร์หรือเทวดา ส่วนตัวละครฝ่ายร้าย มักปรากฏในรูปยักษ์ ปีศาจ หรือสัตว์ที่มีฤทธิ์ต่างๆ แต่ถ้าเป็นตัวละครอมนุษย์ที่ไม่มีอำนาจพิเศษ ก็มักมีบทบาทเป็นผู้ช่วยตัวละครเอกมากกว่าที่จะเป็นอย่างอื่น ตัวละครอมนุษย์ในเรื่องสังข์ทองเป็นตัวละครฝ่ายดีทั้งสิ้น
พระอินทร์และเทวดา
ในบทละครหลายเรื่องจะมีบทบาทของพระอินทร์ที่เหาะลงมาช่วยตัวละครเอกเวลาที่ ตกอยู่ในความคับขัน หรือต้องการความช่วยเหลือ หรือในเวลาที่เหมาะสม สำหรับเรื่องนี้อธิบายได้ว่าเกิดจากอธิพลของนิทานชาดก ซึ่งมีหลักอยู่ว่าพระอินทร์จะลงมาช่วยพระโพธิสัตว์อยู่เสมอ และพระอินทร์จะช่วยตัวละครที่ตั้งอยู่ในคุณธรรมเท่านั้น ทั้งยังช่วยจูงใจตัวละครบางตัวที่หลงผิดไปให้กลับไปยึดมั่นในคุณธรรมอีก ด้วย บทบาทของพระอินทร์ บทบาทของพระอินทร์นี้ช่วยทำให้มีความสมเหตุสมผลในการที่จะสร้างเรื่องให้มี ความสุดวิสัยหรือความเป็นไปไม่ได้ต่างๆ แต่พฤติกรรมของพระอินทร์ก็มีลักษณะเหมือนกับพฤติกรรมของคนธรรมดานี่เองคือ มีอารมณ์ ความรู้สึกรัก โกรธ เกลียด ฯลฯ เพียงแต่มีพลังอำนาจบางอย่างที่จะนำมาใช้ในทางที่ถูกต้องเท่านั้น
บทบาทของพระอินทร์ในวรรณคดีไทยก็คือ เมื่อมนุษย์ผู้มีบุญ ผู้ใดเดือดร้อน หรือได้รับความทุกข์ยากสำบาก พระอินทร์ก็จะเสด็จลงมาช่วยบำบัดทุกข์ให้เสมอ โดยรู้ได้จากการที่ทิพยอาสน์หรือพระแท่นบัณฑุกัมพลที่ประทับแข็งกระด้างขึ้น มา พระองค์จะเล็งทิพยเนตรสอดส่องดูมนุษย์โลกแล้วลงมาช่วยเหลือ
น่าสังเกตว่าพระอินทร์จะให้ความช่วยเหลือคนดีที่ตกทุกข์ได้ยากให้พ้นจากความ ทุกข์ทรมานและพบกับความสุข โดยไม่จำเป็นต้องรอให้พระแท่นบัณฑุกัมพลแข็งกระด้างขึ้นมาก็ได้อย่างเช่นใน เรื่องสังข์ทอง เมื่อพระอินทร์ช่วยนางรจนาและเจ้าเงาะให้พ้นทุกข์แล้ว ก็ประสงค์จะให้ท้าวยศวิมลไปรับนางจันท์เทวีคืนมาอยู่วังตามเดิม จึงไปปรากฏองค์ให้ท้าวยศวิมลเห็น
นอกจากนี้พระอินทร์ยังช่วยเสริมสร้างความสามารถและฤทธิ์อำนาจให้กับตัวเอก เช่น มาท้าตีคลีพนันแล้วยอมแพ้พระสังข์ เพื่อให้ท้าสามนต์และราษฎรเมืองสามนต์ยอมรับในบารมีของพระสังข์
สำหรับบทบาทของเทวดานั้นก็ปรากฏบ่อยครั้ง ส่วนใหญ่จะเป็นการดลใจตัวละครให้กระทำการอย่างใดอย่างหนึ่ง และเหตุการณ์นั้นทำให้เนื้อเรื่องดำเนินไปอย่างสมเหตุสมผล เช่น เทวดาดลใจท้าวสามนต์
เทวดาดลใจนางรจนาตอนที่เลือกคู่คือ “เทพไทอุปถัมภ์นำชัก นงลักษณ์ดูเงาะเจาะจง” และเจ้าเงาะเองก็บอกนางว่า “พี่อยู่ถึงนอกฟ้าหิมพานต์เทวัญบันดาลให้เที่ยวมา” การดลใจนี้เป็นการช่วยให้ตัวละครสมประสงค์ในการเลือกคู่มากกว่าอย่าง อื่น นอกจากนี้ยังมีการช่วยเหลือตัวละครฝ่ายดีให้รอดพ้นอันตราย เช่น รุกขเทพที่รักษาพระไทรป้องกันพระสังข์ไม่ให้เป็นอันตราย ตอนที่ถูกเสนาทุบด้วยท่อนจันทน์ อีกตอนหนึ่งคือช่วยย่นระยะทางให้นางจันท์เทวีมาตามพระสังข์ซึ่งถูกจับตัว
ตอนที่พระสังข์ถูกถ่วงน้ำ แม้จะไม่ได้ระบุไว้อย่างละเอียด แต่การที่พระสังข์จะรอดชีวิตก็เท่ากับเทวดาได้ช่วยไว้นั่นเอง แต่ไประบุไว้ว่าเทวดาดลใจท้าวภุชงค์ให้มาช่วยพระสังข์
นางพันธุรัต
นางพันธุรัตเป็นยักษ์ใจดี เลี้ยงดูพระสังข์และรักเหมือนลูก แต่ความรักของนางกลับทำลายตัวนางเอง เพราะเท่ากับว่าเมื่อพระสังข์ “ปีกกล้าขาแข็ง” แล้วก็หนีจากนางไป
ผู้นิพนธ์ได้ชี้ให้เห็นความขัดแย้งระหว่างนางพันธุรัดกับพระสังข์ตั้งแต่แรก ที่ท้าวภุชงค์ส่งพระสังข์มาเป็นลูกคือ โหรไม่เห็นด้วย แต่นางไม่ฟังคำทักท้วงเพราะรักใคร่เอ็นดูพระสังข์เสียแล้ว แต่วิตกว่าตนเป็นยักษ์ พระสังข์เป็นมนุษย์จะกลัวยักษ์ จึงสั่งให้พวกยักษ์จำแลงกายเป็นมนุษย์ทั้งหมด ซึ่งสุนันทา โสรัจจ์ วิจารณ์ไว้ว่า “นางยักษ์เริ่มต้นด้วยการหนีความจริง เมื่อโหรทำนายว่าพระสังข์จะก่อความวิบัติให้นาง ก็ไม่ตัดไฟต้นลมเสียก่อน นอกจากนี้ยังไม่ยอมรับฟังเหตุผลโมโหร้ายที่ถูกขัดใจ ถือเอาความคิดของตนเองเป็นใหญ่”
นางพันธุรัตแปลงกายอำพรางไม่ให้พระสังข์รู้จนเวลาผ่านไปร่วมสิบปี แต่นางก็กลัวว่าพระสังข์จะหนีไป จึงคอยระวังอยู่ตลอดเวลา แม้เวลาที่จะไปป่าก็ยังหลอกพระสังข์จนพระสังข์สงสัย แต่เราจะสังเกตได้ว่า ผู้นิพนธ์ได้กล่าวย้ำถึงความเป็นยักษ์ของนางอยู่ตลอดเวลา
ถึงแม้จะเป็นยักษ์ นางพันธุรัตก็เป็นแม่ที่อุ้มชูพระสังข์มาเป็นเวลานานให้ความห่วงใยเสมอต้น เสมอปลาย พระสังข์เองก็อดที่จะโศกเศร้าอาลัยอาวรณ์ไม่ได้ ครั้นพอเห็นพระสังข์ไม่ยอมลงมาหาแน่แล้ว นางก็เขียนมหาจินดามนตร์ไว้ให้ เพื่อเป็นการเตรียมการให้พระสังข์ไปผจญกับอุปสรรคและแก้ไขอุปสรรคได้ การกระทำของนางคือการเสียสละเพื่อลูกอย่างแท้จริง
https://www.gotoknow.org/posts/520704
พระสังข์
พระสังข์เป็นตัวเอกที่มีรูปงามตามแบบการสร้างตัวเอกในวรรณคดีไทย ทั่วไป แต่ในตอนเด็กปรากฏเป็น ๒ รูป คือ รูปหอยสังข์กับรูปกุมาร ส่วนตอนเป็นหนุ่มก็มี ๒ รูปเช่นเดียวกัน คือ รูปเงาะกับรูปทอง ทั้งรูปหอยสังข์และรูปเงาะเปรียบเสมือน “ เกาะ” คุ้มครองพระสังข์ ในตอนเด็กเมื่อนางจันท์เทวีต่อยหอยสังข์แตกแหลกไป พระสังข์ร้องไห้คร่ำครวญ ต่อว่าพระมารดาว่า พระแม่ต่อยสังข์ดังชีวิต จะชมชิดลูกนี้สักกี่วัน ซึ่งเป็นการบอกเป็นนัยๆ ถึงภัยที่จะมาถึงและต่อมาพระองค์ก็ถูกจับไปถ่วงน้ำ เพราะเมื่อไม่ได้ซ่อนตัวอยู่ในหอยสังข์ ชาวบ้านก็เห็นและเล่าลือกันต่อๆไป จนท้าวยศวิมลและนางจันทารู้ ส่วนรูปเงาะนั้นพระสังข์กราบทูลท้าวสามลว่า “ ซึ่งแปลงมาจะหาคู่ครอง ” ซึ่งแสดงว่ารูปเงาะนี้นอกจากจะเป็นของวิเศษ เป็นเกราะกำบังแล้ว ยังเป็นเครื่องมือในการหาคู่ครองที่เหมาะสมคือมีบุญบารมีเทียบเท่ากัน ด้วย
ตัวโกง
ตัวโกง คือตัวละครฝ่ายตรงข้ามกับตัวเอก มักมีบทบาทร้ายเพียงด้านเดียว ไม่มีคุณธรรม ไม่ปฏิบัติตนตามหลักศีลธรรม บทบาทของตัวโกงจะเป็นไปในทำนองเดียวกัน คือทำให้คู่รักหรือสามีภรรยาต้องพลัดพรากจากกัน หรือมีพฤติการณ์ไม่ดี คอยอิจฉาริษยาตัวเอกและคนทั่วไป
ตัวโกงในวรรณคดีไทย มักจะมีแต่ความร้ายกาจอย่างเดียว ความเลวร้ายนั้นมักเป็นไปอย่างสมเหตุสมผล และช่วยให้เรื่องดำเนินไปได้ตามความมุ่งหมาย ตัวละครที่มีบทบาทเด่นด้านนี้คือ นางจันทาและหกเขย
นางจันทา
บทบาทของนางจันทาเป็นบทบาทตัวโกงอย่างแท้จริง เป็นคนใจบาปหยาบช้า เหี้ยมโหด ขี้อิจฉาริษยา ทำเรื่องร้ายๆ ได้ทุกอย่างเพื่อให้อีกฝ่ายหนึ่งย่อยับไป นางจันทาเป็นเมียน้อย ซึ่งสำหรับสังคมไทยในสมัยโบราณนั้น ความหึงหวงและการชิงรักหักสวาทกันระหว่างเมียหลวงกับเมียน้อยเป็นเรื่องปกติ ธรรมดา และกล่าวไว้ในวรรณคดีหลายเรื่อง แต่พฤติการณ์เหล่านี้มักรุนแรงถึงขนาดพยายามทำลายล้างอีกฝ่ายหนึ่งให้มีอัน เป็นไป นางจันทาพยายามทำเสน่ห์ท้าวยศวิมล ให้ขับมเหสีกับพระโอรสออกไปจากวัง ต่อมาก็ยุให้ท้าวยศวิมลสั่งให้ฆ่าพระสังข์ ให้ตั้งนางเป็นมเหสีเอก แต่ในที่สุดนางก็ได้รับผลแห่งการกระทำชั่วของตัวเอง
หกเขย
หกเขยเป็นโอรสกษัตริย์ที่ธิดาทั้งหกของท้าวสามนต์เลือกเป็นคู่ครองแม้หกเขย จะเป็นเจ้าชายที่มี “ รูปร่างงามหนักหนา ” แต่ก็ด้อยสติปัญญาเสียจนมีลักษณะชื่อ เซ่อ จนน่าขันในสายตาผู้อ่าน แม้การบรรยายของผู้นิพนธ์ก็ยังแสดงให้เห็นว่าหกเขย “ เคอะเซอะ ” ไปหาพระสังข์ จำต้องยอมให้พระสังข์เชือดจมูกกับใบหูไปจนมีลักษณะ “ หูแหว่งจมูกวิ่น ” ประจานตัวเองไปตลอดชีวิตเพื่อความอยู่รอดของตัวเอง ด้วยกลัวว่าท้าวสามนต์จะประหารชีวิตเสีย ถ้าไม่ได้ปลาได้เนื้อไปตามต้องการ หกเขยต้องเสียจมูกกับหู และความเจ็บปวดทั้งกายและใจแลกกับปลาตายคนละตัวสองตัวและเนื้อทรายขาหักคนละ ตัว มิหนำซ้ำยังถูกเยาะเย้ยจากฝ่ายพระเอกอยู่ตลอดเวลา เวลาที่พระสังข์พูดถึงหกเขย ก็ใช้คำพูดว่า “ อ้ายหกเขยเซอะ ” เป็นการดูหมิ่นอยู่เสมอ
ท้าวยศวิมล
ท้าวยศวิมลมีบทบาทในตอนเปิดเรื่องและบทบาทสำคัญในตอนท้ายเรื่องพระองค์เป็น กษัตริย์ที่มีความตั้งใจดีต่อบ้านเมืองคือ ยอมเสียสละลูกเมีย ในบทละครยังย้ำในเรื่องการทำเสน่ห์ เพื่อให้รู้สึกว่าท้าวยศวิมลไม่ใช่คนที่หูเบาหลงเชื่อนางจันทาฝ่ายเดียว แท้ที่จริงพระองค์ก็รักพระมเหสี รักพระโอรส แต่ถูกเวทมนตร์มายาทำให้เป็นไป
ตอนที่ท้าวยศวิมลจะออกตามพระสังข์ ก็คือพระสังข์ถอดรูปเงาะ ได้รับการยอมรับจากท้าวสามนต์แล้ว พระอินทร์ก็มาปรากฏให้เห็นและต่อว่าพระองค์
ท้าวยศวิมลเป็นคนที่ยอมรับความจริง เพราะเมื่อไปงอนง้อนางจันท์เทวีก็ตรัสว่า “เดี๋ยวนี้รู้สึกตัวว่าชั่วช้า จะออกมาลุแก่โทษที่ทำผิด” พอปรับความเข้าใจกันได้ ก็ชวนนางจันท์เทวีไปตามหาพระโอรสโดยปลอมเป็นสามัญชน พระองค์ได้รับความลำบากยากเข็ญกว่าจะได้พบพระสังข์ บทบาทของพระองค์น่าเศร้าสลดใจมากกว่าตลกขบขัน
ท้าวสามนต์ ท้าวสามนต์เป็นกษัตริย์ที่มีบทบาทตรงกันข้ามกับท้าวทศยศวิมลอย่างสิ้นเชิง เพราะหากตัดเรื่องพระราชอำนาจสูงสุดที่สั่งประหารชีวิตคนออกไปแล้ว
ท้าวยศวิมลไม่มีลักษณะตลกขบขันเลยแม้แต่น้อย แต่ท้าวสามนต์มีบทบาทที่น่าขัน เช่น ตอนที่พระสังข์ตีคลี ลักษณะนิสัยโดยทั่วไปของท้าวสามนต์ก็คือ เป็นคนเอาแต่ใจ จิตใจโลเลไม่แน่นอน ต้องการอะไรแล้วจะต้องได้ เช่นที่พยายามแกล้งเจ้าเงาะ “แกล้งให้หาปลาจะฆ่าฟัน อ้ายเงาะมันกลับได้มามากมาย ยิ่งคิดยิ่งแค้นแน่นใจ แม้นมิฆ่ามันได้ก็ไม่หาย” แต่พอพระสังข์ถอดเงาะแล้ว ก็กลับเข้าข้างพระสังข์ ไม่นึกจิตใจของหกเขยและไม่สงสารธิดาทั้งหกด้วย
พระมเหสี
พระมเหสีมีบทบาทไม่มากนัก แต่ก็เป็นตัวละครที่ทำให้เรืองดำเนินไปได้ย่างสมเหตุสมผล ตัวละครสำคัญในเรื่องสังข์ทองคือ นางจันท์เทวี และนางมณฑา นางจันท์เทวี
นางจันท์เทวีมีบทบาทเช่นเดียวกับตัวละครหญิงในวรรณคดี คือมักพบกับชะตากรรมที่ลำบากยากแค้น ต้องพลัดพรากจากสามี ต้องเดินทางระหกระเหินไปได้รับความทุกข์แสนสาหัส ซึ่งไม่ใช่การยินยอมแต่ถูกความจำเป็นบังคับเมื่อผู้ที่ขับไล่ไปมางอนง้อขอ โทษ แม้จะมีทิฐิมานะอย่างไร ในที่สุดก็จะต้องใจอ่อนยอมยกโทษให้ เพราะไม่ใช่ความผิดของผู้นั้นอย่างแท้จริง แต่มีผู้ใช้เวทมนตร์คาถาหรือเล่ห์กลมารยาททำให้หลงผิดไป ในที่สุดก็คืนดีกันอย่างเดิม นางจันท์เทวีถูกขับไล่ออกจากเมืองตั้งแต่คลอดโอรสใหม่ๆ โดยไม่ได้รับความเห็นใจเลยแม้แต่น้อย ครั้นเมื่อไม่ได้รับกานผ่อนผันเพราะนางจันทายุยง นางจันท์เทวีก็แสดงความเด็ดเดี่ยวด้วยการ “ร้องทูลพระองค์ทรงสกล น้องคนมีกรรมจะขอลาดูรูปจำร่างเสียยังแล้ว พระแก้วจะไม่ได้เห็นหน้า จะไม่คืนคงอย่าสงกา มิได้รองฝ่าพระบาทไป” นางแข็งแกร่งพอที่จะทำงานเลี้ยงตัว เลี้ยงลูกทั้งๆที่เคยใช้ชีวิตอย่างสุขสบายในวัง นางเข้มแข็งพอที่จะไม่ฆ่าตัวตาย แต่มีชีวิตอยู่ด้วยความหวังว่าสักวันหนึ่งคงจะได้พบพระโอรส
นางมณฑา นางจันท์เทวีมีบทบาทเช่นเดียวกับตัวละครหญิงในวรรณคดี คือมักพบกับชะตากรรมที่ลำบากยากแค้น ต้องพลัดพรากจากสามี ต้องเดินทางระหกระเหินไปได้รับความทุกข์แสนสาหัส ซึ่งไม่ใช่การยินยอมแต่ถูกความจำเป็นบังคับเมื่อผู้ที่ขับไล่ไปมางอนง้อขอ โทษ แม้จะมีทิฐิมานะอย่างไร ในที่สุดก็จะต้องใจอ่อนยอมยกโทษให้ เพราะไม่ใช่ความผิดของผู้นั้นอย่างแท้จริง แต่มีผู้ใช้เวทมนตร์คาถาหรือเล่ห์กลมารยาททำให้หลงผิดไป ในที่สุดก็คืนดีกันอย่างเดิม นางจันท์เทวีถูกขับไล่ออกจากเมืองตั้งแต่คลอดโอรสใหม่ๆ โดยไม่ได้รับความเห็นใจเลยแม้แต่น้อย ครั้นเมื่อไม่ได้รับกานผ่อนผันเพราะนางจันทายุยง นางจันท์เทวีก็แสดงความเด็ดเดี่ยวด้วยการ “ร้องทูลพระองค์ทรงสกล น้องคนมีกรรมจะขอลาดูรูปจำร่างเสียยังแล้ว พระแก้วจะไม่ได้เห็นหน้า จะไม่คืนคงอย่าสงกา มิได้รองฝ่าพระบาทไป” นางแข็งแกร่งพอที่จะทำงานเลี้ยงตัว เลี้ยงลูกทั้งๆที่เคยใช้ชีวิตอย่างสุขสบายในวัง นางเข้มแข็งพอที่จะไม่ฆ่าตัวตาย แต่มีชีวิตอยู่ด้วยความหวังว่าสักวันหนึ่งคงจะได้พบพระโอรส
นางมณฑาเป็นแบบฉบับของ “แม่” ทั่วๆไป คือ รักลูก ห่วงใยลูกแม้ลูกจะทำผิดก็พร้อมจะให้อภัย และมีความยุติธรรมเป็นคุณธรรมประจำใจ เมื่อนางรจนาเลือกเจาเงาะเป็นคู่ครอง นางผิดหวังมาก จึงตัดพ้อต่อว่านางรจนา “ ควรหรือมาเป็นได้เช่นนี้ เสียทีแม่รักเจ้านักหนา ร่ำพลางนางทรงโศกา กัลยาเพียงจะสิ้นสมประดี ” แต่นางก็มีสติดีที่จะไตร่ตรองหาเหตุผลที่พระธิดากระทำเช่านั้น ทั้งยังเตือนสติท้าวสามนต์ไม่ให้ลงโทษพระธิดาอย่างรุนแรงด้วย นางมณฑาเป็นคนที่ทีเหตุผล และพยายามนำเหตุผลมาอธิบายให้พระสวามีผู้มัวเมาในโทสะฟัง เพื่อให้มองเห็นความสำคัญของเจ้าเงาะ พยายามไกล่เกลี่ยให้ทุกฝ่ายประนีประนอมปรองดองกันเพื่อความสงบสุข แต่การบรรยายถึงนางมณฑาในบางครั้งจะมีลักษณะตลกขบขัน ตามแบบฉบับของการเล่นละครนอก ทั้งๆที่นางเป็นนางกษัตริย์ น่าสังเกตว่าบทตลกขบขันนี้จะแสดงออกเฉพาะนางมณฑาเท่านั้น ส่วนนางจันท์เทวีจะไม่มีบทบทน่าขบขันเลย
ตัวละครอมนุษย์ ตัวละครอมนุษย์ คือตัวละครที่ไม่ใช่มนุษย์ธรรมดา แต่จะมีลักษณะเด่นและมีพลังอำนาจที่ไม่เหมือนมนุษย์ เช่น เทวดา ยักษ์ ครุฑ นาค ฯลฯ ตัวละครเหล่านี้มีบทบาทและการแสดงออกเช่นเดียวกับมนุษย์ แต่ไม่ใช่ตัวเอกของเรื่อง ถ้าเป็นตัวละครฝ่ายดีก็มักจะเป็นผู้ช่วยตัวเอก ถ้าเป็นละครฝ่ายร้ายก็จะมีบทบาทเป็นศัตรูกับตัวเอก
ตัวละครอมนุษย์
ตัวละครอมนุษย์ที่ปรากฏบ่อยครั้งในวรรณคดีไทยคือ พระอินทร์ ซึ่งเป็นผู้ช่วยตัวเอกในวรรณคดีไทยหลายเรื่อง โดยเฉพาะวรรณคดีที่มีที่มาจากชาดกตัวละครอมนุษย์นี้มักจะมีอำนาจพิเศษอย่าง ใดอย่างหนึ่งหรือหลายอย่าง เป็นได้ทั้งตัวละครฝ่ายดีและฝ่ายร้าย ตัวละครฝ่ายดีจะช่วยแก้อุปสรรคให้กับตัวเอกช่วยเหลือ แก้สถานการณ์ ฯลฯ โดยมากจะปรากฏในรูปของพระอินทร์หรือเทวดา ส่วนตัวละครฝ่ายร้าย มักปรากฏในรูปยักษ์ ปีศาจ หรือสัตว์ที่มีฤทธิ์ต่างๆ แต่ถ้าเป็นตัวละครอมนุษย์ที่ไม่มีอำนาจพิเศษ ก็มักมีบทบาทเป็นผู้ช่วยตัวละครเอกมากกว่าที่จะเป็นอย่างอื่น ตัวละครอมนุษย์ในเรื่องสังข์ทองเป็นตัวละครฝ่ายดีทั้งสิ้น
พระอินทร์และเทวดา
ในบทละครหลายเรื่องจะมีบทบาทของพระอินทร์ที่เหาะลงมาช่วยตัวละครเอกเวลาที่ ตกอยู่ในความคับขัน หรือต้องการความช่วยเหลือ หรือในเวลาที่เหมาะสม สำหรับเรื่องนี้อธิบายได้ว่าเกิดจากอธิพลของนิทานชาดก ซึ่งมีหลักอยู่ว่าพระอินทร์จะลงมาช่วยพระโพธิสัตว์อยู่เสมอ และพระอินทร์จะช่วยตัวละครที่ตั้งอยู่ในคุณธรรมเท่านั้น ทั้งยังช่วยจูงใจตัวละครบางตัวที่หลงผิดไปให้กลับไปยึดมั่นในคุณธรรมอีก ด้วย บทบาทของพระอินทร์ บทบาทของพระอินทร์นี้ช่วยทำให้มีความสมเหตุสมผลในการที่จะสร้างเรื่องให้มี ความสุดวิสัยหรือความเป็นไปไม่ได้ต่างๆ แต่พฤติกรรมของพระอินทร์ก็มีลักษณะเหมือนกับพฤติกรรมของคนธรรมดานี่เองคือ มีอารมณ์ ความรู้สึกรัก โกรธ เกลียด ฯลฯ เพียงแต่มีพลังอำนาจบางอย่างที่จะนำมาใช้ในทางที่ถูกต้องเท่านั้น
บทบาทของพระอินทร์ในวรรณคดีไทยก็คือ เมื่อมนุษย์ผู้มีบุญ ผู้ใดเดือดร้อน หรือได้รับความทุกข์ยากสำบาก พระอินทร์ก็จะเสด็จลงมาช่วยบำบัดทุกข์ให้เสมอ โดยรู้ได้จากการที่ทิพยอาสน์หรือพระแท่นบัณฑุกัมพลที่ประทับแข็งกระด้างขึ้น มา พระองค์จะเล็งทิพยเนตรสอดส่องดูมนุษย์โลกแล้วลงมาช่วยเหลือ
น่าสังเกตว่าพระอินทร์จะให้ความช่วยเหลือคนดีที่ตกทุกข์ได้ยากให้พ้นจากความ ทุกข์ทรมานและพบกับความสุข โดยไม่จำเป็นต้องรอให้พระแท่นบัณฑุกัมพลแข็งกระด้างขึ้นมาก็ได้อย่างเช่นใน เรื่องสังข์ทอง เมื่อพระอินทร์ช่วยนางรจนาและเจ้าเงาะให้พ้นทุกข์แล้ว ก็ประสงค์จะให้ท้าวยศวิมลไปรับนางจันท์เทวีคืนมาอยู่วังตามเดิม จึงไปปรากฏองค์ให้ท้าวยศวิมลเห็น
นอกจากนี้พระอินทร์ยังช่วยเสริมสร้างความสามารถและฤทธิ์อำนาจให้กับตัวเอก เช่น มาท้าตีคลีพนันแล้วยอมแพ้พระสังข์ เพื่อให้ท้าสามนต์และราษฎรเมืองสามนต์ยอมรับในบารมีของพระสังข์
สำหรับบทบาทของเทวดานั้นก็ปรากฏบ่อยครั้ง ส่วนใหญ่จะเป็นการดลใจตัวละครให้กระทำการอย่างใดอย่างหนึ่ง และเหตุการณ์นั้นทำให้เนื้อเรื่องดำเนินไปอย่างสมเหตุสมผล เช่น เทวดาดลใจท้าวสามนต์
เทวดาดลใจนางรจนาตอนที่เลือกคู่คือ “เทพไทอุปถัมภ์นำชัก นงลักษณ์ดูเงาะเจาะจง” และเจ้าเงาะเองก็บอกนางว่า “พี่อยู่ถึงนอกฟ้าหิมพานต์เทวัญบันดาลให้เที่ยวมา” การดลใจนี้เป็นการช่วยให้ตัวละครสมประสงค์ในการเลือกคู่มากกว่าอย่าง อื่น นอกจากนี้ยังมีการช่วยเหลือตัวละครฝ่ายดีให้รอดพ้นอันตราย เช่น รุกขเทพที่รักษาพระไทรป้องกันพระสังข์ไม่ให้เป็นอันตราย ตอนที่ถูกเสนาทุบด้วยท่อนจันทน์ อีกตอนหนึ่งคือช่วยย่นระยะทางให้นางจันท์เทวีมาตามพระสังข์ซึ่งถูกจับตัว
ตอนที่พระสังข์ถูกถ่วงน้ำ แม้จะไม่ได้ระบุไว้อย่างละเอียด แต่การที่พระสังข์จะรอดชีวิตก็เท่ากับเทวดาได้ช่วยไว้นั่นเอง แต่ไประบุไว้ว่าเทวดาดลใจท้าวภุชงค์ให้มาช่วยพระสังข์
นางพันธุรัต
นางพันธุรัตเป็นยักษ์ใจดี เลี้ยงดูพระสังข์และรักเหมือนลูก แต่ความรักของนางกลับทำลายตัวนางเอง เพราะเท่ากับว่าเมื่อพระสังข์ “ปีกกล้าขาแข็ง” แล้วก็หนีจากนางไป
ผู้นิพนธ์ได้ชี้ให้เห็นความขัดแย้งระหว่างนางพันธุรัดกับพระสังข์ตั้งแต่แรก ที่ท้าวภุชงค์ส่งพระสังข์มาเป็นลูกคือ โหรไม่เห็นด้วย แต่นางไม่ฟังคำทักท้วงเพราะรักใคร่เอ็นดูพระสังข์เสียแล้ว แต่วิตกว่าตนเป็นยักษ์ พระสังข์เป็นมนุษย์จะกลัวยักษ์ จึงสั่งให้พวกยักษ์จำแลงกายเป็นมนุษย์ทั้งหมด ซึ่งสุนันทา โสรัจจ์ วิจารณ์ไว้ว่า “นางยักษ์เริ่มต้นด้วยการหนีความจริง เมื่อโหรทำนายว่าพระสังข์จะก่อความวิบัติให้นาง ก็ไม่ตัดไฟต้นลมเสียก่อน นอกจากนี้ยังไม่ยอมรับฟังเหตุผลโมโหร้ายที่ถูกขัดใจ ถือเอาความคิดของตนเองเป็นใหญ่”
นางพันธุรัตแปลงกายอำพรางไม่ให้พระสังข์รู้จนเวลาผ่านไปร่วมสิบปี แต่นางก็กลัวว่าพระสังข์จะหนีไป จึงคอยระวังอยู่ตลอดเวลา แม้เวลาที่จะไปป่าก็ยังหลอกพระสังข์จนพระสังข์สงสัย แต่เราจะสังเกตได้ว่า ผู้นิพนธ์ได้กล่าวย้ำถึงความเป็นยักษ์ของนางอยู่ตลอดเวลา
ถึงแม้จะเป็นยักษ์ นางพันธุรัตก็เป็นแม่ที่อุ้มชูพระสังข์มาเป็นเวลานานให้ความห่วงใยเสมอต้น เสมอปลาย พระสังข์เองก็อดที่จะโศกเศร้าอาลัยอาวรณ์ไม่ได้ ครั้นพอเห็นพระสังข์ไม่ยอมลงมาหาแน่แล้ว นางก็เขียนมหาจินดามนตร์ไว้ให้ เพื่อเป็นการเตรียมการให้พระสังข์ไปผจญกับอุปสรรคและแก้ไขอุปสรรคได้ การกระทำของนางคือการเสียสละเพื่อลูกอย่างแท้จริง
https://www.gotoknow.org/posts/520704
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)
ประวัติที่มาของเรื่อง
สังข์ทองเป็นเรื่องที่ได้มาจากสุวัณสังขชาดก ซึ่งเป็น นิทาน เรื่องหนึ่งใน ปัญญาสชาดก ของท้องถิ่น ในภาคเหนือและภาคใต้มีสถานที่ที่กล่าวถ...
-
วิเคราะห์ตัวละคร พระสังข์ พระสังข์เป็นตัวเอกที่มีรูปงามตามแบบการสร้างตัวเอกในวรรณคดีไทย ทั่วไป แต่ในตอนเด็กปรากฏเป็น ๒ รูป คือ...
-
กาลปางก่อน มีพระเจ้าพรหมทัต(ท้าวยศวิมล) ครองเมืองพรหมนคร(เมืองยศวิมล) พระเจ้าพรหมทัตมีมเหสีสององค์ มเหสีฝ่ายขวาชื่อพระนางจันทราเทวี...
-
เรื่องสังข์ทอง บทละครนอก มิใช่บทสำหรับแสดงละครเพียงอย่างเดียว แต่ใช้เป็นวรรณคดีสำหรับอ่านด้วย โดยมีความสำคัญควบคู่กันไป เพร...